สอบปลายภาค
EAED3214Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood
วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560
บันทึกการเรียนครั้งที่ 13
บันทึกการเรียนครั้งที่ 13
วันพุธ ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2560
เนื้อหาที่เรียน
ให้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
บันทึกการเรียนครั้งที่ 12
บันทึกการเรียนครั้งที่ 12
วันพุธ ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560
เนื้อหาที่เรียน
โปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล
(Individualized Education Program)
(Individualized Education Program)
โดย อ.ตฤณ แจ่มถิน
สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย
มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
แผน
IEP
• แผนการศึกษาที่ร่างขึ้น
• เพื่อให้เด็กพิเศษแต่ละคนได้รับการสอน และการช่วยเหลือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของเขา
• ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก
• โดยระบุเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการใช้แผนและวิธีการวัดประเมินผลเด็ก
การเขียนแผน IEP
• คัดแยกเด็กพิเศษ
• ครูต้องรู้ว่าเด็กมีปัญหาอะไร
• ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นระยะ จะทำให้ทราบว่าจะต้องเริ่มช่วยเหลือเด็กจากจุดไหน ในทักษะใด
• เด็กสามารถทำอะไรได้ / เด็กไม่สามารถทำอะไรได้
• แล้วจึงเริ่มเขียนแผน IEP
IEP ประกอบด้วย
• ข้อมูลส่วนตัวของเด็ก
• ระบุว่าเด็กมีความจำเป็นต้องได้รับบริการพิเศษอะไรบ้าง
• การระบุความสามารถของเด็กในขณะปัจจุบัน
• เป้าหมายระยะยาวประจำปี / ระยะสั้น
• ระบุวัน เดือน ปี ที่เริ่มทำการสอน และคาดคะเนการสิ้นสุดของแผน
• วิธีการประเมินผล
ประโยชน์ต่อเด็ก
• ได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน
• ได้มีโอกาสพัฒนาตามศักยภาพของตน
• ได้รับการศึกษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม
• ถ้าเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนจะไม่ถูกจัดเข้าชั้นเรียนเฉยๆ
ประโยชน์ต่อครู
• เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่ตรงกับความสามารถและความต้องการของเด็ก
• เป็นแนวทางในการเลือกสื่อการสอนและวิธีการสอนให้เหมาะกับเด็ก
• ปรับเปลี่ยนได้เมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลงไป
• เป็นแนวทางในการประเมินผลการเรียนและการเขียนรายงานพัฒนาการความก้าวหน้าของเด็ก
• ตรวจสอบและปประโยชน์ต่อผู้ปกครองระเมินได้เป็นระยะ
• ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการเรียนรายบุคคล เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความสามารถได้สูงสุดตามศักยภาพ
• ทราบร่วมกับครูว่าจะฝึกลูกของตนอย่างไร
• เกิดความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง และใกล้ชิดระหว่างบ้านกับโรงเรียน
ขั้นตอนการจัดทำแผนการศึกษารายบุคคล
1. การรวบรวมข้อมูล
• รายงานทางการแพทย์
• รายงานการประเมินด้านต่างๆ
• บันทึกจากผู้ปกครอง ครู และผู้ที่เกี่ยวข้อง
2. การจัดทำแผน
• ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง
• กำหนดจุดมุ่งหมายระยะยาวและระยะสั้น
• กำหนดโปรแกรมและกิจกรรม
• จะต้องได้รับการรับรองแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การกำหนดจุดมุ่งหมาย
• ระยะยาว
• ระยะสั้น
จุดมุ่งหมายระยะยาว
• กำหนดให้ชัดเจน แม้จะกว้าง
– น้องนุ่นช่วยเหลือตนเองได้
– น้องดาวร่วมมือกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
– น้องริวเข้ากับเพื่อนคนอื่นๆได้
จุดมุ่งหมายระยะสั้น
• ตั้งให้อยู่ภายใต้จุดมุ่งหมายหลัก
• เป็นพฤติกรรมที่เด็กสามารถทำได้ในระยะ 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์
• จะสอนใคร
• พฤติกรรมอะไร
• เมื่อไหร่ ที่ไหน (ที่พฤติกรรมนั้นจะเกิด)
• พฤติกรรมนั้นต้องดีขนาดไหน
3. การใช้แผน
a. เมื่อแผนเสร็จสมบูรณ์ ครูจะนำไปใช้โดยจะใช้แผนระยะสั้น
b. นำมาทำเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
c. แยกย่อยขั้นตอนการสอนให้เหมาะกับเด็ก
d. จัดเตรียมสื่อและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
e. ต้องมีการสังเกตเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและความสามารถ โดยคำนึงถึง
f. ขั้นตอนพัฒนาการของเด็กปกติ
g. ตัวชี้วัดพื้นฐานที่เกี่ยวกับปัญหาของพัฒนาการเด็ก
h. อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมของเด็กและผู้ใหญ่ที่มีผลต่อการแสดงออกของเด็ก
4. การประเมินผล
• โดยทั่วไปจะประเมินภาคเรียนละครั้ง หรือย่อยกว่านั้น
• ควรมีการกำหนดวิธีการประเมิน และเกณฑ์วัดผล
** การประเมินในแต่ละทักษะหรือแต่ละกิจกรรม
อาจใช้วิธีวัดและกำหนดเกณฑ์แตกต่างกัน**
• แผนการศึกษาที่ร่างขึ้น
• เพื่อให้เด็กพิเศษแต่ละคนได้รับการสอน และการช่วยเหลือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของเขา
• ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก
• โดยระบุเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการใช้แผนและวิธีการวัดประเมินผลเด็ก
การเขียนแผน IEP
• คัดแยกเด็กพิเศษ
• ครูต้องรู้ว่าเด็กมีปัญหาอะไร
• ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นระยะ จะทำให้ทราบว่าจะต้องเริ่มช่วยเหลือเด็กจากจุดไหน ในทักษะใด
• เด็กสามารถทำอะไรได้ / เด็กไม่สามารถทำอะไรได้
• แล้วจึงเริ่มเขียนแผน IEP
IEP ประกอบด้วย
• ข้อมูลส่วนตัวของเด็ก
• ระบุว่าเด็กมีความจำเป็นต้องได้รับบริการพิเศษอะไรบ้าง
• การระบุความสามารถของเด็กในขณะปัจจุบัน
• เป้าหมายระยะยาวประจำปี / ระยะสั้น
• ระบุวัน เดือน ปี ที่เริ่มทำการสอน และคาดคะเนการสิ้นสุดของแผน
• วิธีการประเมินผล
ประโยชน์ต่อเด็ก
• ได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน
• ได้มีโอกาสพัฒนาตามศักยภาพของตน
• ได้รับการศึกษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม
• ถ้าเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนจะไม่ถูกจัดเข้าชั้นเรียนเฉยๆ
ประโยชน์ต่อครู
• เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่ตรงกับความสามารถและความต้องการของเด็ก
• เป็นแนวทางในการเลือกสื่อการสอนและวิธีการสอนให้เหมาะกับเด็ก
• ปรับเปลี่ยนได้เมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลงไป
• เป็นแนวทางในการประเมินผลการเรียนและการเขียนรายงานพัฒนาการความก้าวหน้าของเด็ก
• ตรวจสอบและปประโยชน์ต่อผู้ปกครองระเมินได้เป็นระยะ
• ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการเรียนรายบุคคล เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความสามารถได้สูงสุดตามศักยภาพ
• ทราบร่วมกับครูว่าจะฝึกลูกของตนอย่างไร
• เกิดความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง และใกล้ชิดระหว่างบ้านกับโรงเรียน
ขั้นตอนการจัดทำแผนการศึกษารายบุคคล
1. การรวบรวมข้อมูล
• รายงานทางการแพทย์
• รายงานการประเมินด้านต่างๆ
• บันทึกจากผู้ปกครอง ครู และผู้ที่เกี่ยวข้อง
2. การจัดทำแผน
• ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง
• กำหนดจุดมุ่งหมายระยะยาวและระยะสั้น
• กำหนดโปรแกรมและกิจกรรม
• จะต้องได้รับการรับรองแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การกำหนดจุดมุ่งหมาย
• ระยะยาว
• ระยะสั้น
จุดมุ่งหมายระยะยาว
• กำหนดให้ชัดเจน แม้จะกว้าง
– น้องนุ่นช่วยเหลือตนเองได้
– น้องดาวร่วมมือกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
– น้องริวเข้ากับเพื่อนคนอื่นๆได้
จุดมุ่งหมายระยะสั้น
• ตั้งให้อยู่ภายใต้จุดมุ่งหมายหลัก
• เป็นพฤติกรรมที่เด็กสามารถทำได้ในระยะ 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์
• จะสอนใคร
• พฤติกรรมอะไร
• เมื่อไหร่ ที่ไหน (ที่พฤติกรรมนั้นจะเกิด)
• พฤติกรรมนั้นต้องดีขนาดไหน
3. การใช้แผน
a. เมื่อแผนเสร็จสมบูรณ์ ครูจะนำไปใช้โดยจะใช้แผนระยะสั้น
b. นำมาทำเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
c. แยกย่อยขั้นตอนการสอนให้เหมาะกับเด็ก
d. จัดเตรียมสื่อและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
e. ต้องมีการสังเกตเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและความสามารถ โดยคำนึงถึง
f. ขั้นตอนพัฒนาการของเด็กปกติ
g. ตัวชี้วัดพื้นฐานที่เกี่ยวกับปัญหาของพัฒนาการเด็ก
h. อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมของเด็กและผู้ใหญ่ที่มีผลต่อการแสดงออกของเด็ก
4. การประเมินผล
• โดยทั่วไปจะประเมินภาคเรียนละครั้ง หรือย่อยกว่านั้น
• ควรมีการกำหนดวิธีการประเมิน และเกณฑ์วัดผล
** การประเมินในแต่ละทักษะหรือแต่ละกิจกรรม
อาจใช้วิธีวัดและกำหนดเกณฑ์แตกต่างกัน**
ภาคผนวก
การนำไปใช้
การนำวิธีการเขียนแผนสามารถนำไปใช้และเขียนแผนการสอนให้เด็กได้
ประเมิน
ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียนและตั้งใจทำกิจกรรมที่อาจารย์เอาให้ทำและมีความสนุกในกิจกรรมทำให้ไม่เครียดในเวลาเรียนทำให้ตั้งใจเรียนมากขึ้น
ประเมินเพื่อน : เพื่อนตั้งใจเรียนและตั้งใจทำกิจกรรมและตั้งใจจดบันทึกในเวลาเรียน
ประเมินอาจารย์ : สอนสนุกและมีกิจกรรมให้ทำ ทำให้สนใจในการเรียนมากขึ้น
บันทึกการเรียนครั้งที่ 11
บันทึกการเรียนครั้งที่ 11
วันพุธ ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560
เนื้อหาที่เรียน
การส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรม
เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
โดย อ.ตฤณ
แจ่มถิน
สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย
มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
•
เพื่อให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในชีวิตประจำวัน
•
ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด
•
เน้นการดูแลแบบองค์รวม
(Holistic Approach)
1.
การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
เพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด
เกิดผลดีในระยะยาว
เน้นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้เด็กสามารถใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆแทนการฝึกแต่เพียงทักษะทางวิชาการ
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
(Individualized Education Program; IEP)
โรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะทาง โรงเรียนเรียนร่วม ห้องเรียนคู่ขนาน
2.การฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคม
•
การฝึกฝนทักษะในชีวิตประจำวัน
(Activity of Daily
Living Training)
•
การฝึกฝนทักษะสังคม
(Social Skill Training)
•
การสอนเรื่องราวทางสังคม
(Social Story)
2.
การบำบัดทางเลือก
การสื่อความหมายทดแทน (AAC)
ศิลปกรรมบำบัด (Art Therapy)
ดนตรีบำบัด (Music Therapy)
การฝังเข็ม (Acupuncture)
การบำบัดด้วยสัตว์ (Animal Therapy)
การสื่อความหมายทดแทน
(Augmentative and Alternative Communication ; AAC)
การรับรู้ผ่านการมอง (Visual
Strategies)
โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร (Picture
Exchange Communication System; PECS)
เครื่องโอภา (Communication Devices)
โปรแกรมปราศรัย
บทบาทของครู
•
ตำแหน่งการนั่งของเด็กไม่ควรให้นั่งติดหน้าต่างหรือประตู
•
ให้เด็กนั่งแถวหน้าสุดใกล้โต๊ะครู
•
จัดให้เด็กนั่งติดกับนักเรียนที่ไม่ค่อยเล่น
ไม่ค่อยคุยในระหว่างเรียน
•
ให้เด็กมีกิจกรรม เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง
การส่งเสริมทักษะต่างๆของเด็กพิเศษ
1.
ทักษะทางสังคม
•
เด็กพิเศษที่ขาดทักษะทางสังคม
ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการพ่อแม่
•
การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าเด็กจะมีพัฒนาการต่างๆอย่างมีความสุข
กิจกรรมการเล่น
•
การเล่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ทักษะทางสังคม
•
เด็กจะสนใจกันเองโดยอาศัยการเล่นเป็นสื่อ
•
ในช่วงแรกๆ
เด็กจะไม่มองเด็กคนอื่นเป็นเพื่อน
แต่เป็นอะไรบางอย่างที่น่าสำรวจ สัมผัส ผลัก ดึง
ยุทธศาสตร์การสอน
•
เด็กพิเศษหลายๆคนไม่รู้วิธีเล่น ไม่รู้ว่าจะเล่นอย่างไร
•
ครูเริ่มต้นจากการสังเกตเด็กแต่ละคนอย่างเป็นระบบ
•
จะบอกได้ว่าเด็กมีทักษะการเล่นแบบใดบ้าง
•
ครูจดบันทึก
•
ทำแผน IEP
การกระตุ้นการเลียนแบบและการเอาอย่าง
•
วางแผนกิจกรรมการเล่นไว้หลายๆอย่าง
•
คำนึงถึงเด็กทุกๆคน
•
ให้เด็กเล่นเป็นกลุ่มเล็กๆ 2-4 คน
•
เด็กปกติทำหน้าที่เหมือน “ครู” ให้เด็กพิเศษ
ครูปฏิบัติอย่างไรขณะเด็กเล่น
•
อยู่ใกล้ๆ และเฝ้ามองอย่างสนใจ
•
ยิ้มและพยักหน้าให้ ถ้าเด็กหันมาหาครู
•
ไม่ชมเชยหรือสนใจเด็กมากเกินไป
•
เอาวัสดุอุปกรณ์มาเพิ่ม เพื่อยืดเวลาการเล่น
•
ให้ความคิดเห็นที่เป็นแรงเสริม
การให้แรงเสริมทางสังคมในบริบทที่เด็กเล่น
•
ครูพูดชักชวนให้เด็กร่วมเล่นกับเพื่อน
•
ทำโดย “การพูดนำของครู”
ช่วยเด็กทุกคนให้รู้กฎเกณฑ์
•
ไม่ง่ายสำหรับเด็กพิเศษ
•
การให้โอกาสเด็ก
•
เด็กพิเศษต้องเรียนรู้สิทธิต่างๆเหมือนเพื่อนในห้อง
•
ครูต้องไม่ใช้ความบกพร่องของเด็กพิเศษเป็นเครื่องต่อรอง
2.
ทักษะภาษา
การวัดความสามารถทางภาษา
•
เข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพูดไหม
•
ตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วยไหม
•
ถามหาสิ่งต่างๆไหม
•
บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไหม
•
ใช้คำศัพท์ของตัวเองกับเด็กคนอื่นไหม
การออกเสียงผิด / พูดไม่ชัด
•
การพูดตกหล่น
•
การใช้เสียงหนึ่งแทนอีกเสียง
•
ติดอ่าง
การปฏิบัติของครูและผู้ใหญ่
•
ไม่สนใจการพูดซ้ำหรือการออกเสียงไม่ชัด
•
ห้ามบอกเด็กว่า “พูดช้าๆ”
“ตามสบาย” “คิดก่อนพูด”
•
อย่าขัดจังหวะขณะเด็กพูด
•
อย่าเปลี่ยนการใช้มือข้างที่ถนัดของเด็ก
•
ไม่เปรียบเทียบการพูดของเด็กกับเด็กคนอื่น
•
เด็กที่พูดไม่ชัดอาจเกี่ยวข้องกับการได้ยิน
ความรับผิดชอบของครูปฐมวัย
•
การรับรู้ภาษามาก่อนการแสดงออกทางภาษา
•
ภาษาที่ไม่ใช่คำพูดมาก่อนภาษาพูด
•
ให้เวลาเด็กได้พูด
•
คอยให้เด็กตอบ (ชี้แนะหากจำเป็น)
•
เป็นผู้ฟังที่ดีและโตต้อบอย่างฉับไว
(ครูไม่พูดมากเกินไป)
•
เด็กไม่ได้เรียนรู้ภาษาจากการฟังเพียงอย่างเดียว
•
ให้เด็กทำกิจกรรมกลุ่ม
เด็กพิเศษได้มีแบบอย่างจากเพื่อน
•
กระตุ้นให้เด็กบอกความต้องการของตนเอง
(ครูไม่คาดการณ์ล่วงหน้า)
•
เน้นวิธีการสื่อความหมายมากกว่าการพูด
•
ใช้คำถามปลายเปิด
•
เด็กพิเศษรับรู้มากเท่าไหร่
ยิ่งพูดได้มากเท่านั้น
•
ร่วมกิจกรรมกับเด็ก
3.
ทักษะการช่วยเหลือตนเอง
เรียนรู้การดำรงชีวิตโดยอิสระให้มากที่สุด
การกินอยู่
การเข้าห้องน้ำ
การแต่งตัว
กิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวัน
การสร้างความอิสระ
•
เด็กอยากช่วยเหลือตนเอง
•
อยากทำงานตามความสามารถ
•
เด็กเลียนแบบการช่วยเหลือตนเองจากเพื่อน
เด็กที่โตกว่า และผู้ใหญ่
ความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญ
•
การได้ทำด้วยตนเอง
•
เชื่อมั่นในตนเอง
•
เรียนรู้ความรู้สึกที่ดี
หัดให้เด็กทำเอง
•
ไม่ช่วยเหลือเกินความจำเป็น
(ใจแข็ง)
•
ผู้ใหญ่มักทำสิ่งต่างๆให้เด็กมากเกินไป
•
ทำให้แม้กระทั่งสิ่งที่เด็กสามารถทำได้เองหากให้เวลาเขาทำ
•
“ หนูทำช้า ” “ หนูยังทำไม่ได้ ”
จะช่วยเมื่อไหร่
•
เด็กก็มีบางวันที่ไม่อยากทำอะไร
, หงุดหงิด
, เบื่อ
, ไม่ค่อยสบาย
•
หลายครั้งเด็กจะขอความช่วยเหลือในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว
•
เด็กรู้สึกว่ายังมีผู้ใหญ่ที่พึ่งได้
แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือเฉพาะสิ่งที่เด็กต้องการ
•
มักช่วยเด็กในช่วงกิจกรรม
ลำดับขั้นในการช่วยเหลือตนเอง
•
แบ่งทักษะการช่วยเหลือตนเองออกเป็นขั้นย่อยๆ
•
เรียงลำดับตามขั้นตอน
การเข้าส้วม
•
เข้าไปในห้องส้วม
•
ดึงกางเกงลงมา
•
ก้าวขึ้นไปนั่งบนส้วม
•
ปัสสาวะหรืออุจจาระ
•
ใช้กระดาษชำระเช็ดก้น
•
ทิ้งกระดาษชำระในตะกร้า
•
กดชักโครกหรือตักน้ำราด
•
ดึงกางเกงขึ้น
•
ล้างมือ
•
เช็ดมือ
•
เดินออกจากห้องส้วม
สรุป
•
ครูต้องพยายามให้เด็กทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง
•
ย่อยงานแต่ละอย่างเป็นขั้นๆ
•
ความสำเร็จขั้นเล็กๆนำไปสู่ความสำเร็จทั้งมวล
•
ช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเอง
•
เด็กพึ่งตนเองได้
รู้สึกเป็นอิสระ
4.
ทักษะพื้นฐานทางการเรียน
เป้าหมาย
•
การช่วยให้เด็กแต่ละคนเรียนรู้ได้
•
มีความรู้สึกดีต่อตนเอง
•
เด็กรู้สึกว่า “ฉันทำได้”
•
พัฒนาความกระตือรือร้น
อยากรู้อยากเห็น
•
อยากสำรวจ อยากทดลอง
ช่วงความสนใจ
•
ต้องมีก่อนการเรียนรู้อื่นๆ
•
จดจ่อต่อกิจกรรมในช่วงเวลาหนึ่งได้นานพอสมควร
การเลียนแบบ
การทำตามคำสั่ง คำแนะนำ
•
เด็กได้ยินสิ่งที่ครูพูดชัดหรือไม่
•
เด็กเข้าใจคำศัพท์ที่ครูใช้หรือไม่
•
คำสั่งยุ่งยากซับซ้อนไปหรือไม่
การรับรู้ การเคลื่อนไหว
•
ได้ยิน เห็น สัมผัส
ลิ้มรส กลิ่น
•
ตอบสนองอย่างเหมาะสม
การควบคุมกล้ามเนื้อเล็ก
•
การกรอกน้ำ ตวงน้ำ
•
ต่อบล็อก
•
ศิลปะ
•
มุมบ้าน
•
ช่วยเหลือตนเอง
ตัวอย่างอุปกรณ์สำหรับเด็กพิเศษ
•
ลูกปัดไม้ขนาดใหญ่
•
รูปต่อที่มีจำนวนชิ้นไม่มาก
ความจำ
•
จากการสนทนา
•
เมื่อเช้าหนูทานอะไร
•
แกงจืดที่เรากินใส่อะไรบ้าง
•
จำตัวละครในนิทาน
•
จำชื่อครู เพื่อน
•
เล่นเกมทายของที่หายไป
การวางแผนการเตรียมพื้นฐานทางวิชาการ
•
จัดกลุ่มเด็ก
•
เริ่มต้นเรียนรู้โดยใช้ช่วงเวลาสั้นๆ
•
ให้งานเด็กแต่ละคนอย่างชัดเจนว่าต้องทำที่ไหน
•
ติดชื่อเด็กตามที่นั่ง
•
ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
•
ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
•
บันทึกว่าเด็กชอบอะไรที่สุด
•
รู้ว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนงาน
•
มีอุปกรณ์ไว้สับเปลี่ยนใกล้มือ
•
เตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนเด็กมาถึง
•
พูดในทางที่ดี
•
จัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหว
•
ทำบทเรียนให้สนุก
ภาคผนวก
เอกสารประกอบการเรียน
กำลังอธิบายเรื่องการเรียน
ยกตัวอย่างในเนื้อหาให้เข้าใจง่ายขึ้น
ทำบทบาทสมมุติให้เห็นถึงภาพจริง
การนำไปใช้
เอาบทบาทสมมุติไปสังเกตในเหตุการณ์จริงได้ ทำให้ตัดสินใจและมีมีวิธีนำไปใช้ที่หลากหลาย
ประเมิน
ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียนและฟังเวลาที่อาจารย์พูดและเก็บรายละเอียดที่จะสามารถนำไปใช้ในวันข้างหน้าให้มีผลในการใช้ที่ดีขึ้น
ประเมินเพื่อน : เพื่อนตั้งใจเรียนและฟังอาจารย์อธิบายหรือยกตัวอย่างและมีการจดบันทึกตาม
ประเมินอาจารย์ : สอนเข้าใจง่าย มีตัวอย่างให้ดูและมีเหตุการณ์เล่าให้ฟังให่เข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
สอบปลายภาค
สอบปลายภาค
-
บันทึกการเรียนครั้งที่ 6 วันพุธ ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 08 : 30 - 12 : 30 น. ศึกษาค้นคว้าเนื้อหาที่เรียนด้วยตนเอง ...
-
บันทึกการเรียนครั้งที่ 13 วันพุธ ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 08 : 30 - 12 : 30 น . เนื้อหาที่เรียน ...