วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนครั้งที่ 8

บันทึกการเรียนครั้งที่ 8
วันพุธ ที่1 มีนาคม พ.ศ. 2560
เวลา 08 : 30 - 12 : 30 น.



เนื้อหาที่เรียน

8.เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Children with Behavioral and Emotional Disorders)
•มีความรู้สึกนึกคิดที่ผิดไปจากปกติ
•แสดงออกถึงความต้องการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
•มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ
•เด็กที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆ ไม่ได้
•เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
•ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
ความวิตกกังวล (Anxiety) ซึ่งทำให้เด็กมีนิสัยขี้กลัว
ภาวะซึมเศร้า (Depression) มีความเศร้าในระดับที่สูงเกินไป
ปัญหาทางสุขภาพ และขาดแรงกระตุ้นหรือความหวังในชีวิต 
การจำแนกเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ ตามกลุ่มอาการ
ด้านความประพฤติ (Conduct Disorders)
ทำร้ายผู้อื่น ทำลายสิ่งของ ลักทรัพย์
ฉุนเฉียวง่าย หุนหันพลันแล่น และเกรี้ยวกราด
กลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ ชอบโกหก ชอบโทษผู้อื่น
เอะอะและหยาบคาย
หนีเรียน รวมถึงหนีออกจากบ้าน
ใช้สารเสพติด
หมกมุ่นในกิจกรรมทางเพศ
ด้านความตั้งใจและสมาธิ (Attention and Concentration) 
จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในระยะสั้น (Short attention span) อาจไม่เกิน 20 วินาที
ถูกสิ่งต่างๆ รอบตัวดึงความสนใจได้ตลอดเวลา
งัวเงีย ไม่แสดงความสนใจใดๆ รวมถึงมีท่าทางเหมือนไม่ฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูด
สมาธิสั้น (Attention Deficit)
มีลักษณะกระวนกระวาย ไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ หยุกหยิกไปมา
พูดคุยตลอดเวลา มักรบกวนหรือเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น
มีทักษะการจัดการในระดับต่ำ
การถอนตัวหรือล้มเลิก
(Withdrawal)
หลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมักรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น
เฉื่อยชา และมีลักษณะคล้ายเหนื่อยตลอดเวลา
ขาดความมั่นใจ ขี้อาย ขี้กลัว ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก
ความผิดปกติในการทำงานของร่างกาย
(Function Disorder)
ความผิดปกติเกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน (Eating Disorder)
การอาเจียนโดยสมัครใจ (Voluntary Regurgitation)
การปฏิเสธที่จะรับประทาน
รับประทานสิ่งที่รับประทานไม่ได้
โรคอ้วน (Obesity)
ความผิดปกติของการขับถ่ายทั้งอุจจาระและปัสสาวะ (Elimination Disorder)
ภาวะความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ระดับรุนแรง
ขาดเหตุผลในการคิด
อาการหลงผิด (Delusion)
อาการประสาทหลอน (Hallucination)
พฤติกรรมการทำร้ายตัวเอง
ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้
มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
มีความคับข้องใจ มีความเก็บกดอารมณ์
แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
มีความหวาดกลัว
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก
เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders)
เด็กออทิสติก (Autistic) หรือ ออทิสซึ่ม (Autisum)
เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit Hyperactivity Disorders)
ADHD 
เป็นภาวะผิดปกติทางจิตเวชมีลักษณะเด่นอยู่ 3 ประการ คือ
 Inattentiveness (สมาธิสั้น) 
ทำอะไรได้ไม่นาน วอกแวก ไม่มีสมาธิ
ไม่สามารถจดจ่อกับงานที่กำลังทำได้นานเพียงพอ
มักใจลอยหรือเหม่อลอยง่าย
เด็กเล็กๆจะเล่นอะไรได้ไม่นาน เปลี่ยนของเล่นไปเรื่อยๆ
เด็กโตมักทำงานไม่เสร็จตามที่สั่ง ทำงานตกหล่น ไม่ครบ ไม่ละเอียด
Hyperactivity (ซนอยู่ไม่นิ่ง)
ซุกซนไม่ยอมอยู่นิ่ง ซนมาก
เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
เหลียวซ้ายแลขวา
ยุกยิก แกะโน่นเกานี่
อยู่ไม่สุข ปีนป่าย
นั่งไม่ติดที่
ชอบคุยส่งเสียงดังรบกวนคนรอบข้าง
Impulsiveness (หุนหันพลันแล่น)
ยับยั้งตัวเองไม่ค่อยได้ มักทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด วู่วาม
ขาดความยับยั้งชั่งใจ
ไม่อดทนต่อการรอคอย หรือกฎระเบียบ
ไม่อยู่ในกติกา
ทำอะไรค่อนข้างรุนแรง
พูดโพล่ง ทะลุกลางปล้อง
ไม่รอคอยให้คนอื่นพูดจบก่อน ชอบมาสอดแทรกเวลาคนอื่นคุยกั
สาเหตุ
ความผิดปกติของสารเคมีบางชนิดในสมองเช่น โดปามีน(dopamine) นอร์อิพิเนฟริน(norepinephrine)
ความผิดปกติในการทำงานของวงจรที่ควบคุมสมาธิ และการตื่นตัว อยู่ที่สมองส่วนหน้า (frontal cortex)
พันธุกรรม
สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสมาธิสั้น
สมาธิสั้น ไม่ได้เกิดจากความผิดของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกผิดวิธี ตามใจมากเกินไป หรือปล่อยปละละเลยจนเกินไป และไม่ใช่ความผิดของเด็กที่ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ แต่ปัญหาอยู่ที่การทำงานของสมองที่ควบคุมเรื่องสมาธิของเด็ก
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
อุจจาระ ปัสสาวะรดเสื้อผ้า หรือที่นอน
ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา และของใช้ในวัยทารก
ดูดนิ้ว กัดเล็บ
หงอยเหงาเศร้าซึม การหนีสังคม
เรียกร้องความสนใจ
อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า
ขี้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว
ฝันกลางวัน
พูดเพ้อเจ้อ
9. เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Handicaps) 
เด็กที่มีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก
เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
เด็กที่ทั้งหูหนวกและตาบอด

ภาคผนวก
แจกสีเมจิก


อธิบายเนื้อหาที่เรียนเรื่อง
สมาธิสั้น


เนื้อหาที่เรียน

เปิดวีดีโอตัวอย่างการเรียนการสอนของครูและเด็กพิเศษ

การนำไปใช้
ใช้เมื่อเรานำไปสอนหรือเราเจอเด็กพิเศษก็สามารถช่วยแนะนำความรู้ที่รับนำไปเผยแพร่
ประเมิน
ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียน และจดบันทึก และทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่เรียนให้เข้าใจมากขึ้น
ประเมินเพื่อน : เพื่อนตั้งใจเรียน และตั้งใจฟังอาจารย์อธิบายและจดบันทึกตาม
ประเมินอาจารย์ : อาจารย์สอนเข้าใจและอธิบายตัวอย่างง่ายๆให้เข้าใจง่ายและมีวีดีโอตัวอย่างการสอนที่ทำให้เห็นจริงและสามารถนำไปใช้ได้




บันทึกการเรียนครั้งที่ 7

บันทึกการเรียนครั้งที่ 7
วันพุธ ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
เวลา 08 : 30 - 12 : 30 น.



ไปสังเกตการสอนที่โรงเรียนอนุบาลเกษมพิทยา


กิจกรรม เข้าแถวของเด็กอนุบาลเวลา 08:30 จะมี เต้น ออกกำลังกาย 
โดยจะให้เด็กออกมานำเต้นออกกำลังกายคนละ 1 ท่า เต้นทุกห้อง


เข้าห้องประชุม โดยเปิดวีดีโอให้ดูก่อนไปสังเกต

และให้ออกไปสังเกต และกลับมาแลกเปลี่ยนความรู้ และรับประทานอาหาร


ความรู้ที่ได้รับ

การเข้าถึงเด็ก การได้สัมผัส และเข้าใจเด็กมากขึ้น และได้รับความรู้เทคนิคการนำไปใช้กับเด็ก 


ประเมิน
ประเมินตนเอง : ตั้งใจสังเกต และมีความสุขที่ได้ไปสังเกต และได้รับความรู้ดีๆเข้ามาเพิ่ม
ประเมินเพื่อน : เพื่อนตั้งใจสังเกตและศึกษาเนื้อเกี่ยวเด็กมากขึ้น และจดบันทึก
ประเมินอาจารย์ : อาจารย์คอยให้คำแนะนำ




บันทึกการเรียนครั้งที่ 6

บันทึกการเรียนครั้งที่ 6
วันพุธ ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
เวลา 08 : 30 - 12 : 30 น.


ศึกษาค้นคว้าเนื้อหาที่เรียนด้วยตนเอง



บันทึกการเรียนครั้งที่ 5

บันทึกการเรียนครั้งที่ 5
วันพุธ ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
เวลา 08 : 30 - 12 : 30 น.




เนื้อหาที่เรียน
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
6. เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Children with Learning Disabilities) 
เรียกย่อ ๆ ว่า L.D. (Learning Disability)
เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง
ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความบกพร่องทางร่างกาย
สาเหตุของ LD
ความผิดปกติของการทำงานของสมองที่ไม่สามารถถอดรหัสตัวอักษรออกมาได้ (เชื่อมโยงภาพ ตัวอักษรเข้ากับเสียงไม่ได้)
กรรมพันธุ์
1. ด้านการอ่าน (Reading Disorder)
หนังสือช้า ต้องสะกดทีละคำ
อ่านออกเสียงไม่ชัด ออกเสียงผิด หรืออาจข้ามคำที่อ่านไม่ได้ไปเลย
ไม่เข้าใจเนื้อหาที่อ่าน หรือจับใจความสำคัญไม่ได้
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการอ่าน
อ่านช้า อ่านคำต่อคำ ต้องสะกดคำจึงจะอ่านได้
อ่านออกเสียงไม่ชัดเจน
เดาคำเวลาอ่าน
อ่านข้าม อ่านเพิ่มคำ อ่านผิดประโยคหรือผิดตำแหน่ง
อ่านโดยไม่เน้นคำ หรือเน้นข้อความบางตอน
ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้
ไม่รู้ความหมายของเรื่องที่อ่าน
เล่าเรื่องที่อ่านไม่ได้ จับใจความสำคัญไม่ได้
2. ด้านการเขียน (Writing Disorder)
เขียนตัวหนังสือผิด สับสนเรื่องการม้วนหัวอักษร เช่น จาก ม เป็น น หรือจาก ภ เป็น ถ เป็นต้น
เขียนตามการออกเสียง เช่น ประเภท เขียนเป็น ประเพด
เขียนสลับ เช่น สถิติ เขียนเป็น สติถิ
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการเขียน
ลากเส้นวนๆ ไม่รู้ว่าจะม้วนหัวเข้าในหรือออกนอก ขีดวนๆ ซ้ำๆ
เรียงลำดับอักษรผิด เช่น สถิติ เป็น สติถิ
เขียนพยัญชนะหรือตัวเลขสลับกัน
     เช่น ม-น, ภ-ถ, ด-ค, พ-ผ, b-d, p-q, 6-9
เขียนพยัญชนะ ก-ฮ ไม่ได้ แต่บอกให้เขียนเป็นตัวๆได้
เขียนพยัญชนะ หรือ ตัวเลขกลับด้าน คล้ายมองจากกระจกเงา
เขียนคำตามตัวสะกด เช่น เกษตร เป็น กะเสด
 จับดินสอหรือปากกาแน่นมาก
สะกดคำผิด โดยเฉพาะคำพ้องเสียง ตัวสะกดแม่เดียวกัน ตัวการันต์
เขียนหนังสือช้าเพราะกลัวสะกดผิด
เขียนไม่ตรงบรรทัด ขนาดตัวอักษรไม่เท่ากัน ไม่เว้นขอบ ไม่เว้นช่องไฟ
ลบบ่อยๆ เขียนทับคำเดิมหลายครั้ง
3. ด้านการคิดคำนวณ 
(Mathematic Disorder)
ตัวเลขผิดลำดับ
ไม่เข้าใจเรื่องการทดเลขหรือการยืมเลขเวลาทำการบวกหรือลบ
ไม่เข้าหลักเลขหน่วย สิบ ร้อย
แก้โจทย์ปัญหาเลขไม่ได้
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการคำนวณ
ไม่เข้าใจค่าของตัวเลขเช่นหลักหน่วยสิบร้อยพันหมื่นเป็นเท่าใด
นับเลขไปข้างหน้าหรือถอยหลังไม่ได้
คำนวณบวกลบคูณหารโดยการนับนิ้ว
จำสูตรคูณไม่ได้
เขียนเลขกลับกันเช่น13เป็น31
ทดไม่เป็นหรือยืมไม่เป็น
ตีโจทย์เลขไม่ออก
คำนวณเลขจากซ้ายไปขวาแทนที่จะทำจากขวาไปซ้าย
ไม่เข้าใจเรื่องเวลา
4. หลายๆ ด้านร่วมกัน
อาการที่มักเกิดร่วมกับ LD
แยกแยะขนาดสีและรูปร่างไม่ออก
มีปัญหาความเข้าใจเกี่ยวกับเวลา
เขียน/อ่านตัวอักษรสลับซ้าย-ขวา
งุ่มง่ามการประสานงานของกล้ามเนื้อไม่ดี
การประสานงานของสายตา-กล้ามเนื้อไม่ดี
สมาธิไม่ดี (เด็ก LD ร้อยละ 15-20 มีสมาธิสั้น ADHD ร่วมด้วย)
เขียนตามแบบไม่ค่อยได้
ทำงานช้า
การวางแผนงานและจัดระบบไม่ดี
ฟังคำสั่งสับสน
คิดแบบนามธรรมหรือคิดแก้ปัญหาไม่ค่อยดี
ความคิดสับสนไม่เป็นขั้นตอน
ความจำระยะสั้น/ยาวไม่ดี
ถนัดซ้ายหรือถนัดทั้งซ้ายและขวา
ทำงานสับสนไม่เป็นขั้นตอน
7. ออทิสติก (Autistic)
หรือ ออทิซึ่ม (Autism)
เด็กที่ไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
ไม่สามารถเข้าใจคำพูด ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น
ไม่สามารถที่จะสื่อสารกับคนรอบข้างและสังคม
เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง
ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต
"ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว" 

ลักษณะของเด็กออทิสติก
อยู่ในโลกของตนเอง
ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ
ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
ไม่ยอมพูด
เคลื่อนไหวแบบซ้ำๆ
เกณฑ์การวินิจฉัยออทิสติก
องค์การอนามัยโลกและสมาคมจิตแพทย์อเมริกา
ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ
ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น
ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ
มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษาอย่างไม่เหมาะสม
ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ
มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ
มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้ว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ
สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ
พฤติกรมการทำซ้ำ
นั่งเคาะโต๊ะ หรือโบกมือนานเป็นชั่วโมง
นั่งโยกหน้าโยกหลังเป็นเวลานาน
วิ่งเข้าห้องนี้ไปห้องโน้น
ไม่ยอมให้เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้าน (ก่อนอายุ 3 ขวบ)
ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
ไม่สามารถวินิจฉัยให้เข้าข่ายโรคใดๆได้
ออทิสติกเทียม
ปล่อยให้เป็นพี่เลี้ยงดูแลหรืออยู่กับผู้สูงอายุ
ปล่อยให้ลูกอยู่กับไอแพด
ดูการ์ตูนในทีวี
Autistic Savant
กลุ่มที่คิดด้วยภาพ (visual thinker)
     จะใช้การการคิดแบบอุปนัย (bottom up thinking)
กลุ่มที่คิดโดยไม่ใช้ภาพ (music, math and
memory thinker) จะใช้การคิดแบบนิรนัย (top down
thinking)

การนำไปใช้
การนำไปสังเกตพฤิกรรมเด็ก ว่าเด็กแนวโน้มเป็นไหม และใช้ได้กับทุกสถานการณ์

ประเมิน
ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียนบ้าง ง่วงบ้าง เข้าใจบ้าง 
ประเมินเพื่อน : เพื่อนนั่งหน้าตั้งใจเรียน บางคนก็คุย แต่โดยรวมเพื่อนใจเรียน ตั้งใจฟัง และจดบันทึกตาม
ประเมินอาจารย์ : อาจารย์สอนดี ไม่ค่อยง่วง และมีเทคนิคการสอนแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน





สอบปลายภาค

สอบปลายภาค