วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนครั้งที่ 4

บันทึกการเรียนครั้งที่ 4
วันพุธ ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
เวลา 08 ; 30 - 12 : 30 น.

ศึกษาค้นคว้าตัวเอง
การบ้าน ทำบล็อก


บันทึกการเรียนครั้งที่ 3

บันทึกการเรียนครั้งที่ 3
วันพุธ ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2560
เวลา 08 : 30- 12:30 น.

เนื้อหาที่เรียน
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ต่อ
4. เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา
(
Children with Speech and Language Disorders)
เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด

หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องซึ่งเกิดจากการพูดผิดปกติ ในด้านความชัดเจนในการปรับปรุงแต่งระดับและคุณภาพของเสียง จังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด
1. ความบกพร่องในด้านการปรุงเสียง (Articulator Disorders) 
เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป "ความ" เป็น "คาม"
ออกเสียงของตัวอื่นแทนตัวที่ถูกต้อง "กิน" "จิน"  กวาด ฟาด
เพิ่มเสียงที่ไม่ใช่เสียงที่ถูกต้องลงไปด้วย "หกล้ม" เป็น "หก-กะ-ล้ม"
เสียงเพี้ยนหรือแปล่ง "แล้ว" เป็น "แล่ว"
2. ความบกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด (speech Flow Disorders)
พูดไม่ถูกตามลำดับขั้นตอน ไม่เป็นไปตามโครงสร้างของภาษา
การเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง
อัตราการพูดเร็วหรือช้าเกินไป
จังหวะของเสียงพูดผิดปกติ
เสียงพูดขาดความต่อเนื่อง สละสลวย
3. ความบกพร่องของเสียงพูด (Voice Disorders)
ความบกพร่องของระดับเสียง
เสียงดังหรือค่อยเกินไป
คุณภาพของเสียงไม่ดี
ความบกพร่องทางภาษา 
หมายถึง การขาดความสามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำพูด และ/หรือไม่สามารถแสดงความคิดออกมาเป็นถ้อยคำได้
1. การพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าวัย (Delayed Language)  
มีความยากลำบากในการใช้ภาษา
มีความผิดปกติของไวยากรณ์และโครงสร้างของประโยค
ไม่สามารถสร้างประโยคได้
มีความบกพร่องทางเชาว์ปัญญา อารมณ์ สมองผิดปกติ
ภาษาที่ใช้เป็นภาษาห้วน ๆ
2. ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่าDysphasia หรือ aphasia 
อ่านไม่ออก (alexia)
เขียนไม่ได้ (agraphia )
สะกดคำไม่ได้
ใช้ภาษาสับสนยุ่งเหยิง
จำคำหรือประโยคไม่ได้
ไม่เข้าใจคำสั่ง
พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้
Gerstmann’s syndrome 
ไม่รู้ชื่อนิ้ว (finger agnosia)
ไม่รู้ซ้ายขวา (allochiria)
คำนวณไม่ได้ (acalculia)
เขียนไม่ได้ (agraphia)
อ่านไม่ออก (alexia)
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา 
ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบา ๆ และอ่อนแรง
ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10 เดือน
ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ
หลัง 3 ขวบแล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก
ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย
 5. เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ 
(Children with Physical and Health Impairments)
เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป
เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรง
มีปัญหาทางระบบประสาท
มีความลำบากในการเคลื่อนไหว
โรคลมชัก (Epilepsy)
เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมอง
มีกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติและมากเกินปล่อยออกมาจากเซลล์สมองพร้อมกัน
1.การชักในช่วงเวลาสั้น ๆ (Petit Mal)
อาการเหม่อนิ่งเป็นเวลา 5-10วินาที
มีการกระพริบตาหรืออาจมีเคี้ยวปาก
เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก
เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
2.การชักแบบรุนแรง (Grand Mal)
เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นจะหาย และนอนหลับไปชั่วครู
3.อาการชักแบบ Partial Complex
มีอาการประมาณไม่เกิน 3 นาที
เหม่อนิ่ง 
เหมือนรู้สึกตัวแต่ไม่รับรู้และไม่ตอบสนองต่อคำพูด
หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการนอนพัก
4.อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)
เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
5.ลมบ้าหมู (Grand Mal)
เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึกในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น
การปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐาน ในกรณีเด็กมีอาการชัก
 จับเด็กนอนตะแคงขวาบนพื้นราบที่ไม่มีของแข็ง
ไม่จับยึดตัวเด็กขณะชัก
หาหมอนหรือสิ่งนุ่มๆรองศีรษะ
ดูดน้ำลาย เสมหะ เศษอาหารออกจากปาก เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
จัดเสื้อผ้าเด็กให้หลวม
ห้ามนำวัตถุใดๆใส่ในปาก
ทำการช่วยหายใจโดยวิธีการเป่าปากหากเด็กหยุดหายใจ
ซี.พี. (Cerebral Palsy)
การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด
การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของสมองแตกต่างกัน
 1.กลุ่มแข็งเกร็ง (spastic)
spastic hemiplegia อัมพาตครึ่งซีก
spastic diplegia อัมพาตครึ่งท่อนบน
spastic paraplegiaอัมพาตครึ่งท่อนบน
spastic quadriplegia อัมพาตทั้งตัว
2.กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเอง
(athetoid , ataxia)
athetoid อาการขยุกขยิกช้า ๆ หรือเคลื่อนไหวเร็วๆที่เท้า แขน มือ หรือที่ใบหน้าของ เด็กบางรายอาจมีคอเอียง ปากเบี้ยวร่วมด้วย
ataxia มีความผิดปกติในการทรงตัวของร่างกาย กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
3. กลุ่มอาการแบบผสม (Mixed) 
กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy)
เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนนั้น ๆ เสื่อมสลายตัว
เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่
จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม

โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Orthopedic)
ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida)
ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่น วัณโรค กระดูกหลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนอง เศษกระดูกผุ
กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ

โปลิโอ (Poliomyelitis)
มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
ยืนไม่ได้ หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์เสริม

โรคระบบทางเดินหายใจ
โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)
 โรคหัวใจ (Cardiac Conditions)
 โรคมะเร็ง (Cancer)
 เลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia)

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
ท่าเดินคล้ายกรรไกร
เดินขากะเผลก หรืออึดอาดเชื่องช้า
ไอเสียงแห้งบ่อย ๆ
มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจางบนแก้ม ริมฝีปากหรือปลายนิ้ว
หกล้มบ่อย ๆ
หิวและกระหายน้าอย่างเกินกว่าเหตุ

ภาคผนวก

อธิบ่ยเนื้อหาการเรียน

เอกสารประกอบการเรียน

 กำลังอธิบายวิธีการปั้มหัวใจ

การนำไปประยุกต์ใช้
-สามารถนำวิธีการปฐมพยาบาลมาใช้ในชีวิตและเหตุการณืที่ได้เป็นอย่างไม่คาดฝัน

ประเมิน
ประเมินตนเอง
-ตั้งใจฟัง ตั้งใจเรียน และตั้งใจดูตัวอย่างที่อาจารย์มาทำให้ดู

ประเมินเพื่อน
เพื่อนตั้งใจเรียนและดูตัวอย่างที่อาจารย์นำมาสอนและพูดตอบอาจารย์ได้เวลาถาม

ประเมินอาจารย์
อาจารย์ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย และสามารถนำไปใช้ได้ วันนี้สอนสนุกและได้ เนื้อสาระที่ดีจากเนื้อหาที่นำมาสอน



บันทึกการเรียนครั้งที่ 2

บันทึกการเรียนครั้งที่ 2
วันพุธ ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560
เวลา 08:30 - 12 : 30 น.



เนื้อหาที่เรียน

ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา

เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ”
เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)
เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา
มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
มีเหตุผลในการแก้ปัญหา  การใช้สามัญสำนึก
จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน
เด็กฉลาด
ตอบคำถาม
สนใจเรื่องที่ครูสอน
ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน 
ความจำดี
เรียนรู้ง่ายและเร็ว 
เป็นผู้ฟังที่ดี พอใจในผลงานของตน
 Gifted 
ตั้งคำถาม 
เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
เบื่อง่าย  
ชอบเล่า 
ติเตียนผลงานของตน 
2.  กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
8. เด็กออทิสติก
9. เด็กพิการซ้อน 
1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา(Children with Intellectual Disabilities)
 หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกันมี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
  - สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
  - เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
  - ขาดทักษะในการเรียนรู้
  - มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
  - มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90 
สาเหตุของการเรียนช้า
ภายนอก
ภายใน
1. ภายนอก
เศรษฐกิจของครอบครัว
การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
2. ภายใน
พัฒนาการช้า
การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
- ระดับสติปัญญาต่ำ
  - พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
  - มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
  - อาการแสดงก่อนอายุ 18
พฤติกรรมการปรับตน
การสื่อความหมาย
การดูแลตนเอง
การดำรงชีวิตภายในบ้าน
การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม
การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
การควบคุมตนเอง
การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
การใช้เวลาว่าง
การทำงาน
การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น
เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
  - ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
  - ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation)
3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
  - พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
  - สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้

  - เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
เรียนในระดับประถมศึกษาได้
สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้
เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded) 
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
ทำงานช้า
รุนแรง ไม่มีเหตุผล
อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
สาเหตุ
ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21

อาการ
ศีรษะเล็กและแบน  คอสั้น
หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ 
ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง
มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง
2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired ) 
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจนมี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก
 เด็กหูตึง
  หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB 
  เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ 
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
  - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด 
  - จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้ 
  - มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB 
 - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคพูด 
 
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
 - มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
 - มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ 
 - พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB 
 - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก 
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต 
- การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
 - เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก
 
 - เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
 
 - เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
 
 - ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
 
 - ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments) 
- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
  - มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
  - สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
  - มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท 
เด็กตาบอด 
 - เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
 - ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้ 
  - มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท 
   - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท 
 - เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา 
  - สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ 
 - เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น 
 - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา 
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต

ภาคผนวก

กำลังเรียนเข้าสู้เนื้อหา

เอกสารประกอบการเรียน

อธิบายเนื้อหาการเรียน

การนำไปประยุกต์ใช้
- นำไปสังเกตุลักษณะเด็กที่มีพฤติกรรมเด็กพิเศษ

ประเมิน
ประเมินตนเอง
-ตั้งใจฟังและจดบันทึก วันนี้รู้สึกตั้งใจเรียนเพราะได้นั่งหน้า ทำให้เข้าใจในการเรียนมากขึ้น

ประเมินเพื่อน 
-เพื่อนตั้งใจเรียนและฟังอาจารย์ และเพื่อนมีการจดบันทึกเวลาที่อาจารย์สอน

ประเมินอาจารย์
-อาจารย์เตรียมเนื้อหาการสอนและตัวอย่างมาให้ดู และสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายมากขั้น




สอบปลายภาค

สอบปลายภาค